EVA (Economic
Value Added)
EVA
คืออะไร
EVA
หรือ Economic Value Added เป็นเครื่องมือวัดผลการดำเนินงานของธุรกิจในเชิงเศรษฐศาสตร์พัฒนาขึ้นในช่วงปลายทศวรรษ
1980 โดยบริษัทที่ปรึกษาอเมริกัน Stern Stewart Consulting
Group เป็นการให้ความสำคัญมูลค่าเชิงเศรษฐศาสตร์และการสร้างมูลค่าเพิ่มของธุรกิจ
EVA
แสดงให้เห็นถึงผลกำไรที่แท้จริงของกิจการ
โดยหักต้นทุนในส่วนของผู้ถือหุ้น หรือส่วนของเจ้าของ (Cost of Equity) ที่เราเรียกกันว่าต้นทุนค่าเสียโอกาส (Opportunity Cost) ของกิจการออกไปด้วย นอกเหนือจากการหักต้นทุนในส่วนของหนี้สิน (Cost
of debt) ไปแล้ว ผลกำไรที่แท้จริงตัวนี้จะแสดงให้เห็นว่า
ผลการดำเนินงานของธุรกิจนั้น ๆ มีทิศทางในการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับธุรกิจ
(Creating value of the firm) หรือกำลังทำให้มูลค่าของธุรกิจลดน้อยลง (Destroying value of the
firm)
หาก
EVA ของบริษัทใดบริษัทหนึ่งมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
แสดงว่าการบริหารงานของธุรกิจนั้นประสบความสำเร็จ
และสร้างความมั่งคั่งให้กับผูถือหุ้น (Shareholders’ wealth) ทำให้ผู้ถือหุ้นเกิดความพอใจ นอกจาก EVAจะเป็นเครื่องมือพื้นฐานที่ใช้ในการบริหารงานแล้ว
ยังเป็นเครื่องมือในการสร้างระบบผลตอบแทนที่จูงใจ
ซึ่งจะกระตุ้นให้ผู้บริหารตัดสินใจบริหารจัดการเพื่อเพิ่มมูลค่าให้แก่ธุรกิจ
และสร้างความมั่งคั่งสูงสุดให้แก่ผู้ถือหุ้น (Maximize shareholders’
wealth) ทั้งบริษัทเอกชน
และหน่วยงานของรัฐฯ
ในทางบัญชีเราบันทึกบัญชีโดยใช้เกณฑ์คงค้างเป็นหลัก ไม่ได้ใช้หลักเงินสด
ทำให้กำไรที่เกิดขึ้นไม่สามารถวัดมูลค่าในอนาคตได้
(หากมีข้อแตกต่างระหว่างกำไรจากเกณฑ์คงค้างกับกำไรจากเกณฑ์ เงินสดมาก
จะทำให้กำไรไม่มีคุณภาพ) สิ่งที่จะสะท้อนภาพผลการดำเนินงานของกิจการได้
ควรจะเป็นกระแสเงินสดที่แท้จริงของกิจการ
EVA
ใช้ทำอะไรได้บ้าง
·
ใช้เป็นตัววัดทางด้านการเงินของผลตอบแทน
อยู่บนพื้นฐานความมั่งคั่งของผู้ถือหุ้น
·
ใช้เป็นเกณฑ์ในการวัดผลการดำเนินงาน
·
ใช้กำหนดแผนการจ่ายผลตอบแทนให้แก่ผู้บริหาร
·
เป็นเครื่องมือสำคัญในการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพสูงขององค์กร
EVA
ให้ความสำคัญสูงสุดกับการสร้างมูลค่าเพิ่ม
การสร้างมูลค่าเพิ่ม หมายถึง
การนำทรัพยากรไปใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพและสร้างมูลค่าได้สูงสุด
หากไม่มุ่งมั่นกับการสร้างมูลค่าเพิ่มแล้ว
การใช้ทรัพยากรขององค์กรจะเป็นไปอย่างสิ้นเปลือง
และสังคมโดยรวมสูญเสียมูลค่าทางโอกาสในการสร้างคุณค่าจากการใช้ทรัพยากรเหล่านั้น
สูตรการคำนวณ
EVA
EVA
= NOPAT - (WACC x INVESTED CAPITAL)
ส่วนประกอบหลักๆ ในการคำนวณ
EVA จะมีในงบกำไรขาดทุนและงบดุลของทุกบริษัทอยู่แล้วคือ
1.
กำไรหลังหักภาษี (Net Operating Profit After Tax: NOPAT)
ซึ่งคำนวณจากรายได้ลบด้วยค่าใช้จ่ายทางด้านปฏิบัติการและภาษี
2.
เงินลงทุน (Capital) ซึ่งประกอบด้วยเงินลงทุนหมุนเวียน เงินลงทุนถาวร และส่วนของสินทรัพย์อื่น ๆ
ที่ก่อให้เกิดรายได้
3.
ต้นทุนของเงินลงทุน (Capital Charge) คือผลตอบแทนที่ทั้งผู้ถือหุ้นหรือเจ้าหนี้ต้องการ
กล่าวอีกนัยหนึ่งคือผลตอบแทนที่นักลงทุนต้องการเพื่อชดเชยกับความเสี่ยงที่เกิดขึ้นต่อเงินลงทุน
หากจะต้องไปกู้ยืมเงินมาลงทุนทั้งหมด ดอกเบี้ยของเงินทุนก็คือต้นทุนของเงินลงทุน
สรุป
ในรอบ
2-3 ปีที่ผ่านมากระแสของ “มูลค่าเพิ่มเชิงเศรษฐกิจ” (Economic Value Added) หรือ EVA เริ่มมาแรงในประเทศไทย โดยนำ EVA
มาใช้ในการคำนวณเชิงปฏิบัติ อันจะเป็นประโยชน์ต่อผู้บริหารกิจการ
และผู้สนใจโดยทั่วไป ซึ่งจะเห็นได้ว่าประโยชน์ของการนำ EVA มาใช้งานนั้นมีมากมาย เช่น เป็นตัววัดทางด้านการเงินของผลตอบแทน
อยู่บนพื้นฐานความมั่งคั่งของผู้ถือหุ้น,ใช้กำหนดแผนการจ่ายผลตอบแทนให้แก่ผู้บริหาร ,ใช้เป็นเครื่องมือสำคัญในการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพสูงขององค์กร
ตลอดจนใช้ในการพัฒนาแนวทางวัดผลการดำเนินงาน
ให้สอดคล้องกับแนวคิดใหม่ทางด้านการบริหารที่มุ่งเน้นการสร้างมูลค่าเพิ่มเชิงเศรษฐกิจกลับไปยังผู้ถือหุ้น
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น