พบกันอีกแล้วนะคะ ดูเหมือนจะทิ้งช่วงของข่าวสารไปพอควร เลยนำความรู้มานำเสนอหวังว่าคงดได้รับประโยชน์นะคะ
และพบกันอีกค่ะ
Strategic Planning
วันศุกร์ที่ 12 ตุลาคม พ.ศ. 2555
วันพฤหัสบดีที่ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2555
ขั้นที่ 76 ทฤษฎี Robert H.Wateman.Jr.
Robert H.Waterman JR
Robert H.Waterman JR
-- โรเบิร์ต
เอช วอเทอร์แมน
จูเนียร์ เป็นชาวอเมริกัน จบกการศึกษา ปริญญาตรีgeophysicsที่ Colorado
School of Mines ปริญญาโท MBA ที่ Stanford University
การทำงาน Waterman
โด่งดังมาจากผลงานวิจัยที่เอามาเขียนเป็นหนังสือ In Search of Excellence,
เป็นนักพูด, เคยเป็นที่ปรึกษาให้กับ McKinsey & Company เป็นเวลา21 ปี
และมีบริษัทที่ปรึกษาของตนเองชื่อ The Waterman Group, Inc. Waterman ใช้คำว่า
Adhocracy กับองค์กร ที่นับเป็นจุดเน้น คำว่าองค์กรที่ถือหลักการ adhocracy
จะเป็นองค์กรที่มีโครงสร้างเรียบง่าย ไม่สลับซับซ้อน
แนวคิด
ยุคที่มีการเปลี่ยนแปลงสูง
องค์กรต้องสามารถรับมือกับความเปลี่ยนแปลงนั้นได้
สิ่งสำคัญที่องค์กรปัจจุบันต้องการมากคือการสร้างสภาพแวดล้อมที่เกื้อหนุนการใช้เทคนิคต่างๆในการแก้ปัญหาในหนังสือ
Adhocracy: the Power to Change
ท่านได้ใช้ทักษะจากการเป็นที่ปรึกษาด้านการบริหารจัดการมากว่า 25 ปี
นำเสนอวิธีการในการที่จะสร้างองค์กรแบบ adhocracy และผลักดันให้มันทำงานได้
โดยเฉพาะอย่างยิ่งการสร้างทีมงานและการแยกกระจายหน่วยงานที่ใหญ่และซับซ้อนออกเป็นหน่วยย่อย
สร้างวัฒนธรรมให้มุ่งเน้นการแก้ปัญหาอย่างเป็นธรรมชาติ
โ
ธมัส เจ ปีเตอร์ส (Thomas J. Peters) และโรเบิร์ต เอช วอเตอร์แมน
จูเนียร์(Robert H.Waterman,Jr.) ในการค้นหาความเป็นเลิศ ในช่วงต้นปี 1977 พบว่า
ปัจจัยที่มีผลต่อความสำเร็จในการดำเนินงานนอกจากกลยุทธ์และโครงสร้าง
ยังมีปัจจัยอื่นที่เกี่ยวข้องสัมพันธ์เชื่อมโยงกันทั้งหมด 7 ปัจจัยได้แก่
- โครงสร้าง(structure)
- กลยุทธ์(strategy)
- บุคลากร(staff)
- สไตล์การจัดการ(style)
- ระบบ(systems)
- ค่านิยมร่วม(shared value)
- ทักษะ(skills)
ซึ่งตัวแปร 2
ตัวแรกคือโครงสร้างและกลยุทธ์ เปรียบเสมือนเป็นส่วนที่เรียกว่า ฮาร์ดแวร์ ซึ่งผู้จัดการในอดีตให้ความสนใจ
ส่วนตัวแปรอีก 5 ตัวที่ค้นพบใหม่ในอดีตผู้จัดการมักไม่ให้ความสนใจมากนัก
ซึ่งเปรียบเสมือนซอฟท์แวร์ แมคคินซีย์ เรียกตัวแปรเหล่านี้ว่ากรอบ 7 – S
ประโยชน์ที่ได้รับจากการนำทฤษฎีมาประยุกต์ใช้
- องค์กรธุรกิจที่ได้ชื่อเสียง
และการยอมรับ ตลอดจนความสัมพันธ์ที่ดีจากสังคม
- หุ้นส่วนหรือนักลงทุน
ได้รับผลประโยชน์จากราคาหุ้นที่ไม่ถูกกระทบ(กรณีที่บริษัทถูกประท้วง) หรือได้รับการจัดลำดับใน Dow Jones
Sustainability Index (เฉพาะในประเทศสหรัฐอเมริกา)
-
พนักงานมีความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างกัน มีทัศนคติที่ดีต่อองค์กร เกิดความสามัคคี
และการสร้าง (Team Building) ขวัญ
กำลังใจและความภาคภูมิใจในองค์กร และมีความตั้งใจในการทำงานมากขึ้น
-
ลูกค้ามีทัศนคติที่ดีต่อองค์กรและส่งผลต่อการตัดสินใจซื้อ และความภักดีในสินค้า
และที่สำคัญมีงานวิจัยจำนวนมากที่สอบถามผู้บริโภค
โดยส่วนใหญ่ตัดสินใจเลือกซื้อสินค้าที่แสดงออกชัดเจนในการทำดำเนินธุรกิจที่รับผิดชอบต่อสังคม
หากสินค้ามีคุณภาพใกล้เคียงกัน
ขั้นที่ 75 ทฤษฎี Thomas J.Peters
Thomas J.Peters
แนวคิดนักบริหารกับมิติการจัดการ :
Thomas J. Peters ผลงานที่ยอดเยี่ยม
คือ Insearch of Excellence
คุณสมบัติที่ทำให้องค์กรเป็นเลิศ 8 ประการ
1. การมุ่งเน้นที่การปฏิบัติ (Bias
for Action)
2. การมีความใกล้ชิดกับลูกค้า (Close
to the Customer)
3. การให้ความอิสระในการทำงานและสร้างความรู้สึกเป็นเจ้าของกิจการ
(Autonomy
and Entrepreneurship)
4.
การเพิ่มผลผลิตโดยพนักงาน (Productivity Through People)
5.
การติดตามงานอย่างใกล้ชิดและการใช้ค่านิยมเป็นแรงผลักดัน
(Hands-on and Value Driven)
6.
การทำแต่ธุรกิจที่มีความเชี่ยวชาญ (Stick to the Knitting)
7. การมีรูปแบบที่เรียบง่ายและใช้พนักงานอย่างมีประสิทธิภา (Simple
Form and Lean Staff)
8.
การเข้มงวดและผ่อนปรนในเวลาเดียวกัน (Simultaneous Loose
tight Properties)
องค์ประกอบองค์การแห่งความเป็นเลิศ
ขั้นที่ 74 ทฤษฎี Richard Johnson
Richard Johnson
แนวความคิด :
ทฤษฎีเชิงระบบ
แนวคิดหลัก
(key concepts)
องค์การถูกพิจารณาเป็นระบบเปิด
การบริหารจัดการต้องมีปฏิกิริยาสัมพันธ์กับสภาพแวดล้อมที่เกี่ยวข้องกับ
ปัจจัยนำเข้าไปสู่ผลผลิต
วัตถุประสงค์ขององค์การจะต้องมุ่งที่ประสิทธิภาพและประสิทธิผล
องค์การจะประกอบด้วยระบบย่อยจำนวนมาก
มีหลายช่องทางที่จะได้ผลลัพธ์เหมือนกัน
การรวมตัวจะมีขนาดใหญ่กว่าผลรวมของแต่ละชิ้นส่วน
ส่วนประกอบของแนวคิดเชิงระบบ
-->1.
เป้าหมาย
(Goals
) และทรัพยากร (Resources)
-->2.
องค์การ(Organization)และการประสานงาน(Coordination)
-->3.
การแก้ไขปัญหา (Solutions) และแนวคิด (Perspectives)
สิ่งที่ให้ประโยชน์ (contribution)
ทำให้ยอมรับความสำคัญของความสัมพันธ์ระหว่างองค์การกับสภาพแวดล้อมภายนอก
ข้อจำกัด
ไม่สามารถให้คำแนะนำที่เฉพาะเจาะจงในหน้าที่และงานของผู้บริหาร
ขั้นที่ 73 ทฤษฎี William G.Ouchi : Z
William G.Ouchi
William G. Ouchi
ศาสตราจารย์ใน University of California at Los Angeles (UCLA) และได้รับทุนให้ทำการศึกษาจากสถาบัน National Commission On
Productivity
ทฤษฎี Z เป็นทฤษฎีทางการบริหารธุรกิจ
ที่เกิดขึ้นจากการผสมผสานระหว่างการบริหาร ธุรกิจแบบสหรัฐอเมริกา หรือ
Theory A กับการบริหารแบบญี่ปุ่น หรือ Theory J ทฤษฎี Z เป็นทฤษฎีบริหารงานที่ได้รับ
การยอมรับในวงการบริหารในยุคปัจจุบัน
โดยเน้นความร่วมมือในการทำงานของคนงานและเน้นหลักมนุษยสัมพันธ์เป็นสำคัญ
แนวคิดทฤษฎี Z ของ Ouchi
ทฤษฎีของ Z ของ Ouchi (Ouchi’s Theory Z)
เป็นทฤษฎีอธิบายโครงสร้างตามการจัดการ ผสมผสานระหว่างการบริหารแบบสหรัฐอเมริกาหรือ Theory A กับการบริหารแบบญี่ปุ่น หรือ Theory J คือ
ทฤษฎี A
เป็นแนวความคิดการจัดการของสหรัฐอเมริกาซึ่งองค์การ เน้นการจ้างงานระยะสั้น พนักงานมีส่วนร่วมและความรับผิดชอบต่อองค์การน้อย
ทฤษฎี J
เป็นแนวความคิดการจัดการของญี่ปุ่นซึ่งองค์การเป็นการจ้างงานตลอดชีพ
พนักงานมีส่วนร่วมและความรับผิดชอบต่อองค์การสูง
ทฤษฎี Z
เป็นแนวความคิดการจัดการประสมประสาน ระหว่างญี่ปุ่นและ
สหรัฐอเมริกาโดยเน้นการจ้างงานระยะยาวมีการตัดสินใจและความรับผิดชอบร่วมกัน
ขั้นที่ 72 ทฤษฎี James Thompson
James Thompson
แนวคิดและทฤษฎีการจัดการ
ทฤษฎีเชิงระบบ (systems
theory) (ปี 1960) เป็นวิธีการจัดการที่ผสมผสานหน้าที่ในการจัดการกิจกรรมการจัดการและการวางแผนเชิงกลยุทธ์เข้าด้วยกัน
โดยพิจารณาถึงสภาพแวดล้อมภายนอก
ทรรศนะที่อธิบายถึงผลกระทบจากสภาพแวดล้อมภายนอกที่มีต่อองค์การถูกเสนอโดย แดเนียล
แคทซ์
โรเบิร์ต คาห์น
(Robert Kahn) และเจมส์ ธอมป์สัน (James Thompson) นักทฤษฎีเหล่านี้มีมุมมองว่าองค์การเป็นระบบเปิด (open
system)ซึ่งถือเป็นระบบที่องค์การได้นำทรัพยากรจากสภาพแวดล้อมภายนอกมาแปรสภาพเป็นสินค้าและบริการ
เพื่อส่งกลับไปยังสภาพแวดล้อมในที่ซึ่งสินค้าและบริการได้ขายให้กับลูกค้า
นอกจากนั้นผู้นำทางทฤษฎีเชิงระบบเช่น ริชาร์ด จอร์นสัน (Richard Johnson)
ฟรีมอนด์ แคสท์ (Fremont Kast)และเจมส์
โรเซนซ์เวจ (James Rosenweig)
แนวคิดเกี่ยวกับองค์การของ James D.Thompson
-->องค์การเป็นระบบเปิดที่ทำงานในสภาพที่ ไม่แน่นอน
-->
องค์การพยายามดำเนินงานโดยใช้ความมีเหตุผล
เพื่อเป็นการสร้างแน่นอนในการทำงาน
-->องค์การจะต้องคอยปรับตัวเพื่อให้ทำงานได้ดีที่สุดในสภาพแวดล้อมที่ไม่แน่นอน
องค์การจะจัดการกับความไม่แน่นอนโดยการแบ่งหน้าที่ออกเป็น
3 ส่วน คือ
- ส่วนเทคนิค
- ส่วนจัดการ
- ส่วนสถาบัน
ขั้นที่ 71 ทฤษฎี Robert E. Wood
Robert E. Wood
Robert
E. Wood
ต่างพยายามสร้างเครื่องมือที่ใช้เป็นกฎเกณฑ์ทางการจัดการ ที่เป็นรูปธรรมขึ้นมา
แต่ช่วงนั้นได้เกิดสงครามโลกครั้งที่ 2
ขึ้นเสียก่อนในระหว่างสงครามโลกหน่วยงานทางทหารต้องเผชิญ กับปัญหาที่มีความซับซ้อน
ทั้งในด้านการจัดระเบียบประชาชนและการส่งกำลังบำรุง
การจัดการเชิงประมาณ(Quantitative management)
เพื่อช่วยในการตัดสินใจ โดยใช้คณิตศาสตร์
สถิติและสารสนเทศเป็นเครื่องมือเพื่อแก้ปัญหาทางการจัดการ
หลังสงความโลกการจัดการเชิงปริมาณได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายมากขึ้นในแวดวงธุรกิจ
อย่างไรก็ตามการใช้การจัดการเชิงปริมาณยังคงใช้ได้เฉพาะปัญหาที่มีลักษณะเป็นแบบที่มีโครงสร้าง(structured problem) ทฤษฎีวิทยาการจัดการ
เป็นวิธีการสมัยใหม่ในด้านการจัดการ ที่เน้นการใช้เทคนิคเชิงปริมาณอย่างเข้มงวด
เพื่อช่วยให้ผู้จัดการทำการใช้ทรัพยากรองค์การ
เพื่อผลิตผลิตภัณฑ์และบริการให้มากที่สุด
ในส่วนประกอบที่สำคัญของทฤษฎีวิทยาการจัดการ
คือการขยายการจัดการแบบวิทยาศาสตร์ให้มีความทันสมัย
โดยการนำวิธีการเชิงปริมาณเพื่อวัดส่วนประสมของคนงานและงาน
เพื่อให้ทีประสิทธิภาพสูงขึ้น
สำหรับส่วนประกอบที่สำคัญของทฤษฎีวิทยาการจัดการ คือ
การขยายการจัดการแบบวิทยาศาสตร์ ให้มีความทันสมัย
โดยการนำวิธีการเชิงปริมาณเพื่อวัดส่วนประสมของคนงานและงาน
เพื่อให้ทีประสิทธิภาพสูงขึ้น แบ่งเป็น 4 กลุ่ม
1. การจัดการเชิงปริมาณ (Quantitative
management) โดยใช้เทคนิคคณิตศาสตร์ เช่น
โปรแกรมเชิงเส้นตรงและไม่ใช่เส้นตรง (linear and nonlinear programming) ตัวแบบ (modeling) แบบจำลองสถานการณ์
(simulation) และทฤษฎีแถวคอย (queuing theory) เป็นต้น ทั้งนี้ เพื่อช่วยในการตัดสินใจของผู้จัดการ
2. การจัดการการดำเนินการผลิต (Operations
management) ซึ่งประกอบด้วย เทคนิคต่าง ๆ
ที่ผู้จัดการสามารถนำไปใช้ในการวิเคราะห์ลักษณะระบบการผลิตขององค์การเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ
เช่น แบบจำลองสินค้าคงคลัง(inventory model)
และแบบจำลองเครือข่าย(network model)
เพื่อปรับปรุงการตัดสินใจปัญหาการจัดจำหน่ายและการดำเนินการ
3. การจัดการคุณภาพโดยรวม (Total
Quality Management:TQM)
เป็นการจัดการคุณภาพของหน่วยงานในองค์การทั้งหมด
ซึ่งประกอบได้ด้วยฝ่ายต่างๆ ที่ผู้จัดการสามารถนำเทคนิคต่าง ๆ
ไปใช้ในการวิเคราะห์ระบบการผลิตในองค์การเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ
เช่นแบบจำลองสินค้าคงคลัง(inventory model)
และแบบจำลองเครือข่าย(network model)เพื่อปรับปรุงการตัดสินใจปัญหาการจัดจำหน่าย
โดยะเน้นการวิเคราะห์ปัจจัยนำเข้าในกระบวนการเพื่อแปรสภาพให้ได้ผลผลิตที่มีคุณภาพของผลิตภัณฑ์
4. ระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการ (management
information systems)
เป็นวิธีการที่ช่วยให้ผู้จัดการออกแบบระบบสารสนเทศ
เพื่อจัดสารสนเทศเกี่ยวกับเหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นทั้งภายในและภายนอกองค์การ
เพื่อประกอบการตัดสินใจให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิผล
ระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการยังช่วยให้ผู้จัดการและบุคลากรในระดับต่างๆ
ได้รับสารสนเทศที่จำเป็นต่อการนำไปใช้ประโยชน์และมีส่วนร่วมในกระบวนการตัดสินใจอย่างไรก็ตามในการนำทฤษฎีวิทยาการจัดการไปใช้ประโยชน์นั้น
ในปัจจุบันเทคโนโลยีสารสนเทศ(information technology)ได้เข้ามามีส่วนในการปรับปรุงคุณภาพการตัดสินใจและเพิ่มประสิทธิภาพและประสิทธิผลขององค์การได้เป็นอย่างดี
และถือว่าเป็นส่วนสำคัญในการเพิ่มความได้เปรียบในการแข่งขันให้กับองค์การ
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)